ข่าวประชาสัมพันธ์

ติดเชื้อทั้งคู่…จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่?

Q&A ติดเชื้อทั้งคู่…จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่?

Q : คู่รัก HIV ยังจำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่ ?
A : ควรใส่ถุงยางเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ และป้องกันการรับเชื้อดื้อยาหากไม่มั่นใจในคู่

สุขภาพทางเพศสำหรับคู่รักที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV : “ติดเชื้อทั้งคู่…จำเป็นต้องใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่?”

คำถามที่ว่า “ถ้าเราและคู่ของเราต่างก็มีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน (สด) จะปลอดภัยหรือไม่?” เป็นข้อสงสัยที่พบได้บ่อยใน คู่รักที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งสองฝ่าย (Seroconcordant Couples) ไม่ว่าจะเป็นคู่รักต่างเพศ หรือคู่รักเพศเดียวกัน

ความสำเร็จที่ต้องรู้: U=U (Undetectable = Untransmittable)
ความสำเร็จทางการแพทย์ในปัจจุบันคือหลักการ U=U (ตรวจไม่พบเชื้อ = ไม่ถ่ายทอดเชื้อ) ซึ่งหมายถึง:

  • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และแพทย์ยืนยันว่า ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนตรวจไม่พบ (Undetectable)
  • บุคคลดังกล่าวจะ ไม่ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี (Untransmittable) ไปสู่คู่นอนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์แม้จะไม่ใช้ถุงยางอนามัย

ขั้นตอนสำคัญ ต้องยืนยันสถานะ U=U: ทั้งสองฝ่ายต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และผลการตรวจวัดปริมาณไวรัสในเลือดต้อง ตรวจไม่พบเชื้อ (Undetectable) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และต้องมีการตรวจยืนยันอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่าการอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาไปมาก และผู้ติดเชื้อที่รับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องจนเชื้อลดลงจนตรวจไม่พบ (ภาวะ U=U: Undetectable = Untransmittable) จะไม่ถ่ายทอดเชื้อไปสู่คู่นอนที่ไม่มีเชื้อก็ตาม แต่ในกรณีของคู่รักที่เป็นผู้ติดเชื้อทั้งสองฝ่าย มีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง การใช้ถุงยางอนามัยก็ยังเป็นรูปแบบของการ แสดงความรับผิดชอบร่วมกัน ต่อสุขภาพของคู่รัก และเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่มองไม่เห็นในระยะยาว

ความเสี่ยงหลักที่คู่รัก HIV ต้องระวัง

ความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับคู่รักทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมีเป้าหมายในการมีบุตรร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม:

1. การได้รับเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยา (Acquired Drug Resistance)
หากคู่นอนของคุณมีเชื้อเอชไอวีที่ได้พัฒนาการ ดื้อยา (Drug Resistance) ต่อยาต้านไวรัสบางชนิด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันอาจทำให้คุณได้รับเชื้อดื้อยานั้นเข้ามาด้วย

ผลกระทบ: หากได้รับเชื้อดื้อยาเข้าสู่ร่างกาย ประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสที่คุณกำลังใช้อยู่จะลดลง หรือไม่ได้ผลเลย ซึ่งหมายความว่าคุณอาจต้องเปลี่ยนไปใช้สูตรยาใหม่ที่มีความซับซ้อนกว่า หรือมีผลข้างเคียงมากกว่า

2. การแพร่และรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (STIs/STDs)
ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ซึ่งเป็นความเสี่ยงหลักสำหรับคู่รักที่ไม่ใช้การป้องกัน

ตัวอย่างโรค: เช่น ซิฟิลิส, หนองใน, เริม, ไวรัสตับอักเสบบี/ซี ฯลฯ

ผลกระทบ: การติดเชื้อ STIs เหล่านี้ จะทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี และอาจทำให้การควบคุมปริมาณไวรัสทำได้ยากขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม

ข้อสรุปและคำแนะนำเพื่อสุขภาวะทางเพศที่ยั่งยืน
– ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง: “U=U คือความสำเร็จ แต่การป้องกันคือความรับผิดชอบ” ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
– ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เข้ารับการตรวจสุขภาพและตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) อย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อติดตามสุขภาพและรับการรักษาอย่างรวดเร็วหากพบความผิดปกติ
– ปรึกษาแพทย์สำหรับการวางแผนครอบครัว: หากเป็นคู่รักต่างเพศที่อยู่ในภาวะ U=U และต้องการมีบุตรโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

แหล่งอ้างอิง (References)
Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Superinfection. [ออนไลน์].
World Health Organization (WHO). Guideline on when to start antiretroviral therapy and on pre-exposure prophylaxis for HIV.
Department of Health and Human Services (DHHS). Guidelines for the Use of Antiretroviral Agents in Adults and Adolescents with HIV.

บทความโดย: คุณชนินทร์ สุขสม
หัวหน้างานสังคมและจิตวิทยา ศูนย์วิจัยโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สภากาชาดไทย

Similar Posts